[Patt_Curtin5] วิทยาศาสตร์ศึกษา สัปดาห์ที่ 5 ที่ Curtin University ตัวอย่างการทำ STEAM ในออสเตรเลีย

สัปดาห์ที่ 5 ที่ Curtin University กิจกรรมที่น่าสนใจที่ได้เข้าร่วมมี 2 กิจกรรม

1. การสัมมนาเกี่ยวกับ Theory and Theoretical framework ผู้ที่เข้าร่วมในการสัมมนาเป็นอาจารย์ซึ่งส่วนมากจะเป็นจากสาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และปฐมวัย และมีนิสิตปริญญาเอกเข้าด้วย กิจกรรมสัมมนาในวันนี้ โจทย์คือให้แต่ละคนมาร่วมอภิปรายกันว่า ในความเข้าใจแล้ว Theoretical framework คืออะไร Theoretical framework ช่วยเป็นแนวทางในการทำวิจัยของแต่ละคนอย่างไร Theoretical framework ต่างจาก Conceptual framework อย่างไร สิ่งที่น่าสนใจคือ แต่ละคนจะนำเสนอ Theoretical framework ของตนเอง ซึ่งอภิปรายเชื่อมโยงไปถึง paradigm ที่แต่ละคนยึดถือ ซึ่งส่วนมากจะเป็น Interpretivist paradigm นิสิต ป. เอกเองก็มีโอกาสนำเสนอ Theoretical framework ของตนเอง ถือเป็นบรรยากาศที่ดีมาก ทุกคนเปิดใจ รับฟังคนที่มีความแตกต่าง

2. ได้มีโอกาสไปร่วม the EDfutures Design Workshop ซึ่งจัดโดยนิสิตปริญญาเอกจาก Murdoch University เกี่ยวกับ STEAM Education ที่ Perth Institute of Contemporary Arts (PICA), Perth Cultural Centre โดยก่อนเริ่ม workshop วิทยากรก็พาผู้เข้าอบรมซึ่งเป็นครูจากวิชาต่าง ๆ ชมนิทรรศการที่ทาง PICA จัด ณ ตอนนี้เกี่ยวกับ ศิลปะกับวิทยาศาสตร์ ชื่อว่า Energies: Haines and Hinterding ซึ่งน่าสนใจมาก ศิลปินที่จัดนิทรรศการนี้มีความสนใจเกี่ยวกับพลังงานที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราซึ่งมองไม่เห็น ได้แก่ คลื่นวิทยุ สัญญาณโทรทัศน์ ปรากฏการณ์ที่หาคำอธิบายไม่ได้ (paranormal events) พลังจิต และสัญญาณดาวเทียม จากนั้นศิลปินก็พยายามถ่ายทอดพลังงานเหล่านี้ผ่านทางงานศิลปะโดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยอธิบาย งานศิลปะของเขามีหลากหลายรูปแบบ เช่น นำแกรไฟต์ มาวาดเป็นรูปต่าง ๆ เช่นเป็น เขาวงกต เป็นภาพ abstract แล้วก็ต่อวงจรเข้ากับหูฟัง พอเราไปสัมผัสแกรไฟต์และใส่หูฟัง เราก็จะได้ยินเสียง ซึ่งแกรไฟต์ที่วาดรูปต่าง ๆ ก็จะมีเสียงต่าง ๆ กัน เพื่อแสดงให้เห็นว่า เราเองก็มีพลังงานที่ไปทำให้วงจรที่ต่อกับภาพวาดแกรไฟต์นั้นทำงาน และเกิดเป็นเสียงออกมา (แอดมินชอบภาพ งานศิลปะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ดังแสดงด้านล่างนี้)

ในส่วนของ workshop ที่เรียกว่า EDfutures นี้เป็นเครือข่ายของครู วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและ ศิลปะ ที่สนใจใน STEAM มารวมกลุ่มกัน วิทยากรเน้นย้ำเป้าหมายในการสอนกับครูทุกคนว่าการเรียนแบบนี้ เด็ก ๆ ได้ฝึกทักษะที่จำเป็นที่ต้องนำไปใช้ในชีวิตจริง โดยวิทยากรยังกล่าวติดตลกว่า เคยมีครูวิทยาศาสตร์ถามว่าทำไมต้องเอา Art เข้ามาบูรณาการ วิทยาศาสตร์ก็สนุกได้ วิทยากรจึงต้องอธิบายว่า Art จะช่วยให้การเรียนในโรงเรียนมันก็มีชีวิตชีวา และเด็กๆ ก็จะสนุกในการเรียนอย่างมีเป้าหมายว่าทำไมต้องเรียนเรื่องเหล่านี้ รู้ไปทำไม

จากนั้นวิทยากรก็ให้ครูที่มีประสบการณ์ทำ STEAM ในโรงเรียนมาเล่า เช่นโรงเรียนหนึ่ง นักเรียนได้ทำ project เกี่ยวกับถังขยะสำหรับทิ้งเบ็ดและสายเบ็ด เนื่องจากนักเรียนพบปัญหาว่าคนที่มาตกปลามักทิ้งเบ็ดและสายเบ็ด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์ต่างๆ นักเรียนจึงอยากที่จะหาวิธีเชิญชวนให้คนที่มาตกปลาทิ้งเบ็ดและสายเบ็ดให้เป็นที่ ชิ้นงานของนักเรียนคือการออกแบบถังขยะเพื่อทิ้งสายเบ็ด ซึ่งครูคณิตศาสตร์ และครูเทคโนโลยีจะมาช่วยเรื่องการออกแบบและสร้างถังขยะ ส่วนครูศิลปะจะมาช่วยเรื่องการตกแต่งถังขยะให้น่าสนใจ จากนั้นนักเรียนก็นำไปรณรงค์ให้คนที่มาตกปลาใช้ โดยนักเรียนทำเป็นป้ายรณรงค์ มีการให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายที่เกิดขึ้นโดยครูวิทยาศาสตร์จะมาช่วยในเรื่องเนื้อหาที่เกี่ยวกับระบบนิเวศ จากนั้นนักเรียนนำเสนองานสุดท้ายเป็นวีดิทัศน์ที่เล่าถึงการทำงานของพวกเขา มีการแต่งเพลงประกอบ ร้องประกอบซึ่งครูดนตรีก็เข้ามาช่วย ส่วนครูเทคโนโลยีครูศิลปะมาช่วยเรื่องการออกแบบและสร้างสรรค์ชิ้นงาน และวีดิทัศน์ ผลสะท้อนจากครูที่สอน STEAM คือเด็ก ๆ ชอบและมีความสุขมาก ทำชิ้นงานแค่ชิ้นเดียวแต่เชื่อมโยงหลายวิชา และยังเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเขา

จากนั้นมีกิจกรรมให้ครูแต่ละวิชาจับกลุ่มและวิเคราะห์หลักสูตรร่วมกัน เพื่อออกแบบกิจกรรม STEAM โดยบทบาทของวิทยากรน่าสนใจมากคือ ไม่ได้เน้นการบรรยายทฤษฎียาก ๆ แต่ใช้การส่งเสริมให้ครูลงมือทำ ออกแบบกิจกรรม แล้วค่อย ๆ สนับสนุนด้วยทฤษฎีทางการศึกษา วิทยากรจะเน้นให้ครูเป็น mentor ให้กับนักเรียน เพื่อสร้างสรรค์ชิ้นงาน และสิ่งที่วิทยากรเน้นย้ำกับครูคือ การศึกษาแต่ละระดับไม่ได้มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อเตรียมนักเรียนให้พร้อมจะเรียนในระดับต่อไป หรือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่เป็นการเตรียมคนให้ใช้ชีวิตได้ วิทยากรให้โจทย์กับครูว่า เช่นครู มัธยมศึกษาตอนปลาย ทำอย่างไรจะให้นักเรียนรู้ว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยไม่ได้ต้องการแค่คนรู้เนื้อหา แต่นักเรียนต้องมีความสามารถในการทำงานกับคนอื่น มีทักษะในการสร้าง project ถึงจะเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้สำเร็จ

ที่มา : https://web.facebook.com/pattamaporn.pimthong/posts/1917856908230662
หมายเหตุ : บทความนี้ มาจากประสบการณ์และทัศนคติของผู้เขียน (อ.ดร.ปัฐมาภรณ์ พิมพ์ทอง) เท่านั้น และผู้เขียนอนุญาตให้เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ www.krusmart.com หากบุคคลอื่นจะนำบทความนี้ไปเผยแพร่ต่อ ให้ติดต่อและขออนุญาตผู้เขียนก่อนทุกครั้ง



Leave a Comment