ครุวิจัยสิ่งแวดล้อม การวิจัยเกี่ยวกับป่าชุมชน การวัดคุณภาพของน้ำโดยดัชนีชีวภาพ และการหาปริมาณธาตุอาหารในดิน

คณะครูที่เข้าร่วมโครงการครุวิจัยสิ่งแวดล้อม  ณ  คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  จ.มหาสารคาม (เมื่อปี พ.ศ. 2550) มีทั้งสิ้น  27  คน  ซึ่งเป็นคณะครูที่มาจากหลายจังหวัด  ทั่วประเทศ  และที่ศูนย์วิจัยแห่งนี้  คณะครูจะศึกษาวิจัยเกี่ยวกับป่าไม้ที่ป่าชุมชนโคกหินลาด  อำเภอเมือง  จังหวัดมหาสารคาม วัดคุณภาพของน้ำโดยใช้ดัชนีชีวภาพ  ปริมาณธาตุอาหารในดิน  ซึ่งมีครู สควค. 5 คน เข้าร่วมโครงการและมีผลงานรวมถึงเรื่องราวดีๆ มาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้

forest-research1. นายคำนวณ  แก้วคำสอน  โรงเรียนบ้านผักคำภู อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร วิจัยเรื่อง  “ความสัมพันธ์ระหว่าง  ไลเคนกับชนิดพรรณไม้ และปัจจัยทางกายภาพ : กรณีศึกษาป่าชุมชนโคกหินลาด”  วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดพรรณไม้และปัจจัยทางกายภาพที่มีผลต่อการพบไลเคน ในแปลงศึกษาป่าชุมชนโคกหินลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม  เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสำรวจชนิดพันธุ์ของพืชชนิดต่างๆ ที่พบไลเคนในแปลงศึกษา นับจำนวนต้นของพรรณไม้ที่พบไลเคน แยกกลุ่มของไลเคนที่พบในพรรณไม้แต่ละชนิด และมีการวัดค่าความเข้มของแสงและอุณหภูมิในแต่ละแปลงศึกษา   ผลการศึกษา พบว่าในแปลงศึกษามีพรรณไม้ที่พบไลเคนทั้งสิ้น 8 วงศ์ 10 ชนิด โดยชนิดพรรณไม้ที่พบไลเคนที่มีจำนวนมากที่สุดคือ แดง  กอกกัน  ไข่เน่าโดยกลุ่มของไลเคนที่พบในป่าชุมชนโคกหินลาดพบไลเคน 2 กลุ่มคือ  กลุ่มครัสโตส และกลุ่มโฟลิโอส  ซึ่งพบไลเคนในกลุ่ม คลัสโตส มากกว่าไลเคนในกลุ่มโฟลิโอส

2. นางสาวละออ  ผิวทน  โรงเรียนน้อมเกล้า  อ. เลิงนกทา  จ.ยโสธร วิจัยเรื่อง “ความหลากชนิดของพรรณไม้ยืนต้นและการใช้ประโยชน์ของชุมชน : กรณีศึกษา ป่าชุมชนโคกหินลาด” ผลการศึกษา พบไม้ยืนต้น  23  วงศ์  37  ชนิด  ไม้หนุ่ม  12  วงศ์  16  ชนิด  และกล้าไม้  13  วงศ์  17  ชนิด พรรณไม้ยืนต้นที่มีค่าความสำคัญน้อยที่สุดคือ  บก  สะแบง  หมากเบน จากผลการวิจัยได้นำไปสร้างสื่อการเรียนรู้วิชาชีววิทยาและได้ต้นแบบการวิจัยเชิงสำรวจ ของนักเรียนด้วย

3. นายศรชัย  พุทธชัย  โรงเรียนยูงทองพิทยาคม อ.นายูง จ.อุดรธานี  วิจัยเรื่อง “โครงสร้างของสังคมพืชและการจับกลุ่มของพืชพื้นล่าง บริเวณป่าชุมชนโคกหินลาด” วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหลากชนิดของพรรณไม้พื้นล่าง  บริเวณป่าชุมชนโคกหินลาด  และระดับชั้นของการจับกลุ่มของพรรณไม้พื้นล่าง  ได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสำรวจ  นับจำนวน วัดระดับชั้นการจับกลุ่มของพรรณไม้พื้นล่างแต่ละชนิด  เก็บตัวอย่างและถ่ายรูปพรรณไม้พื้นล่างที่ไม่สามารถจำแนกชนิดได้ แล้วนำมาจัดจำแนกโดยการศึกษาจากเอกสารคู่มือพรรณไม้  และสอบถามหมอยาพื้นบ้าน  พร้อมทั้งระบุประโยชน์ของพรรณไม้พื้นล่างแต่ละชนิด  ผลการศึกษา พบว่า ในแปลงตัวอย่างพบพรรณไม้พื้นล่างทั้งสิ้น 27 วงศ์ 37 ชนิด วงศ์ที่พบมากที่สุด คือ Euphorbiaceae ส่วนชนิดที่พบมากที่สุด คือ หญ้าเพ็ก(Victnamosasa pusilla (Chevalier&A Camus)Nguyen)  และถ้าชนิดใดระดับชั้นของการจับกลุ่มมีค่าสูง ชนิดนั้นจะมีดัชนีความสำคัญมากและถ้าชนิดใดมีระดับชั้นของการจัดกลุ่มต่ำ  ชนิดนั้นจะมีดัชนีความสำคัญน้อย  โดยหญ้าเพ็ก มีระดับชั้นของการจับกลุ่มสูงที่สุด  ป่าชุมชนโคกหินลาด  เป็นป่าที่เพิ่งกำลังฟื้นตัว  ดังนั้น  ความอุดมสมบูรณ์จึงยังมีน้อย  ค่าดัชนีความหลากชนิด และดัชนีการกระจายตัวจึงมีค่าน้อย  และช่วงเวลาที่ทำการศึกษาเป็นฤดูแล้ง  พรรณไม้พื้นล่างบางชนิดยังอยู่ในระยะพักตัวไม่เจริญเติบโต  พรรณไม้พื้นล่างที่สำรวจพบจึงมีค่อนข้างน้อยชนิด

soil-research4. นางสาวปวีณา  วรรณประภา  โรงเรียนหนองถ่มวิทยา  อำเภอ  จ.ศรีสะเกษ วิจัยเรื่อง “การเปรียบเทียบคุณลักษณะและปริมาณธาตุอาหารหลักระหว่างดินนาที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์กับปุ๋ยเคมี  อ.กันทรวิชัย  จ.มหาสารคาม”  มีวัตถุประสงค์เพื่อ
     1) เปรียบเทียบสีดิน  เนื้อดิน เปอร์เซ็นต์ความชื้น  และความเป็นกรด-ด่าง
     2) เปรียบเทียบปริมาณแอมโมเนียม ไนเตรต ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม  ระหว่างดินนาที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์กับปุ๋ยเคมี  ในชุมชนบ้านดอนแดง อ. กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม

ผลการศึกษา พบว่า ดินนาที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์มีสีแดงปนเหลือง เนื้อดินเป็นดินร่วนปนทราย  เปอร์เซ็นต์ความชื้นเท่ากับ 8.33±0.34  ค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ในระดับกรด ปานกลาง ปริมาณแอมโมเนียมและฟอสฟอรัสปานกลาง ปริมาณไนเตรตและโพแทสเซียมต่ำ ส่วนดินนาที่ใช้ปุ๋ยเคมีมีสีน้ำตาลปนแดง(5YR 5/4) เนื้อดินเป็นดินร่วนปนทราย  เปอร์เซ็นต์ความชื้นเท่ากับ 7.02±0.06 ค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ในระดับกรดจัด  ปริมาณแอมโมเนียมและโพแทสเซียมต่ำ ปริมาณไนเตรตและฟอสฟอรัสต่ำมาก จากผลการวิจัยเห็นว่าเปอร์เซ็นต์ความชื้น ความเป็นกรด-ด่าง ปริมาณแอมโมเนียม ไนเตรต และฟอสฟอรัสของดินนาที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์มีค่ามากกว่าดินนาที่ใช้ปุ๋ยเคมี  ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทำให้ดินนามีปริมาณธาตุอาหารเหลือมากกว่าดินนาที่ใช้ปุ๋ยเคมี  จึงควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการปลูกข้าวให้มากขึ้น

water-research5. นางสาวกนกวรรณ  สุขใจ  ผู้เขียน วิจัยเรื่อง “การประเมินคุณภาพน้ำโดยใช้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหน้าดินเป็นดัชนีชีวภาพ  กรณีศึกษาลำห้วยคะคาง  อ.เมือง  จ.มหาสารคาม” วัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพน้ำในลำห้วยคะคาง  โดยใช้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหน้าดินเป็นดัชนีชีวภาพ  ศึกษาความหลากชนิด (Species richness)  ดัชนีความหลากชนิด (Diversity index) และดัชนีความสม่ำเสมอในการกระจาย (Evenness)    แล้วนำมาคำนวณค่าดัชนีคุณภาพน้ำ  โดยใช้คู่มือนักสืบสายน้ำ  ผลการศึกษา พบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในลำห้วยคะคางทั้งหมด  7  กลุ่ม  คือ  Oligochaeta Gastropoda  Odonata  Trichoptera    Ephemeroptera  Diptera  และ Coleoptera สัตว์หน้าดินที่พบปริมาณมากที่สุดได้แก่  Oligochaeta  มีค่าดัชนีคุณภาพน้ำ  5.09 อยู่ในช่วงคุณภาพน้ำพอใช้ได้  ผลของคุณภาพน้ำทางกายภาพและเคมี  เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานน้ำผิวดินพบว่า  อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินประเภทที่  3  ซึ่งแหล่งน้ำที่ได้รับน้ำทิ้งจากกิจกรรมบางประเภทสามารถเป็นประโยชน์เพื่อการเกษตร  การอุปโภคและบริโภคตามปกติ  ซึ่งต้องผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนนำไปใช้  ซึ่งจากข้อมูลคุณภาพน้ำทั้งทางกายภาพ  เคมี  และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง  จัดได้ว่าคุณภาพน้ำลำห้วยคะคางอยู่ในระดับพอใช้ถึงสกปรก  ซึ่งหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ  ควรให้ความสำคัญในการเฝ้าระวังและปรับปรุงคุณภาพแหล่งน้ำ  เพื่อให้ระดับคุณภาพน้ำของแหล่งน้ำมีคุณภาพดีขึ้นไป

จากการเข้าร่วมโครงการครุวิจัยในครั้งนี้  ทำให้เราได้ความรู้และประสบการณ์ใหม่  ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรง  อย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนวิจัย การทำความเข้าใจ ฝึกปฏิบัติการใช้อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ที่แม้ว่าบางอย่าง เราไม่สามารถนำกลับมาใช้ที่โรงเรียนได้ แต่ก็ช่วยจุดประกายที่จะทำให้เรานำไปประยุกต์ใช้ได้ จากนั้นก็เป็นการลงมือทำวิจัย จนสำเร็จเป็นรายงานการวิจัย และผลพลอยได้ที่สร้างความภาคภูมิใจคือ ความรู้ที่เราสร้างสรรค์ขึ้นด้วยตนเอง แนวทางการสร้างสรรค์องค์ความรู้ต่างๆ แนวคิดที่แตกต่าง ภูมิปัญญาที่น่าทึ่งของปราชญ์ชาวบ้าน น้ำใจที่เปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ ความจริงใจ จากเพื่อนๆ พี่ๆ คณะวิจัยและวิทยากร ขอบคุณ สกว.และ ม.มหาสารคาม

ที่มา : วารสาร สควค. ฉบับที่ 3 (เมษายน-มิถุนายน 2550) หน้าที่  เขียนโดย ครูกนกวรรณ   สุขใจ สควค.รุ่น 7 ครู  ร.ร.ภูกระดึงวิทยาคม จ.เลย
ภาพประกอบจาก : วารสาร สควค. ฉบับที่ 3 



Leave a Comment